วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กัณฑ์ที่ ๔ ปาราชิก

กัณฑ์ที่ ๔
ปาราชิก

ศัพท์นี้ เป็นคุณบทของอาบัติ แปลว่า ยังผู้ต้องให้พ่าย.

เป็นคุณบทของบุคคล แปลว่า ผู้พ่าย, เป็นคุณบทของสิกขาบท แปลว่าปรับอาบัติปาราชิก. ในที่นี้ เป็นชื่อของสิกขาบทมี ๔ สิกขาบท.

สิกขาบทที่ ๑ ว่า ภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเนียมเลี้ยงชีพร่วมกันของภิกษุทั้งหลายแล้ว ไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอยกำลัง [คือความท้อแท้] จะพึงเสพเมถุนธรรม
โดยที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุนี้เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส [คือธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุอื่น].

คำว่า ภิกษุ ในที่นี้ ควรจะได้แก่ภิกษุทั้ง ๓ เหล่า แต่ในคัมภีร์วิภังค์ท่านกล่าวว่า ได้แก่ภิกษุที่สงฆ์อุปสมบทให้ ด้วยญัตติจตุตถกรรมคำนี้ส่อว่า คัมภีร์วิภังค์เรียงทีหลัง ครั้งนั้น มีแต่ภิกษุที่สงฆ์อุปสมบท
ให้ ท่านจึงกล่าวไว้ดังนั้น. ภิกษุนั้น เบื่อหน่ายในการประพฤติพรหมจรรย์แล้ว บอกลาสิกขาถือเพศเป็นอนุปสัมบันก็ได้.

แต่เธอไม่ได้บอกลสิกขา ยังคงถือเพศเป็นภิกษุอยู่ และจะพึงเสพเมถุนธรรม คือการของคนคู่กันทั้งเป็นภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิก เป็นผู้พ่ายจากหมู่ไม่มีสังวาส คือ ธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลายอีก คือขาดอำนาจอันชอบธรรม ในที่จะถือเอาประโยชน์แห่งความเป็นภิกษุ เช่น ขาดจากสิกขาอันมีเสมอกับภิกษุ กล่าวคือขาดจากความปกครองไม่ได้เข้าอุโบสถ ปวารณา และสังฆกรรมกับสงฆ์อีก.

เมถุนธรรมนั้น เพ่งบทว่า โดยที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย น่าจะเข้าใจว่า ในสิกขาบทพูดถึงเมถุนธรรมสามัญ ที่เป็นการของชายกับหญิง แต่ในคัมภีร์วิภังค์แสดงว่า กิริยาที่เสพในทวารเบาก็ดี ในทวารหนักก็ดี ในปากก็ดี ของมนุษย์ผู้เป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตามเป็นพันทางก็ตาม ของสัตว์จำพวกที่เรียกว่าอมนุษย์ ต่างโดยเป็นยักษ์เป็นเปรต มีประเภทเช่นเดียวกัน และของสัตว์ที่จัดเป็นดิรัจฉาน เป็นตัวเมียก็ตาม เป็นตัวผู้ก็ตาม เป็นพันทางก็ตาม ชื่อว่า เสพเมถุนภิกษุเสพเมถุนในทวารเช่นนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ไม่สำเร็จกิจแต่องค์กำเนิดได้เข้าไปสักเล็กน้อย ที่ท่านกล่าวว่า ชั่วเมล็ดงาหนึ่งองค์กำเนิดก็ดี ทวารก็ดี จะมีอะไรสวม มีอะไรพัน มีอะไรลาดก็ตาม ไม่มีก็ตาม มนุษย์ อมนุษย์ และดิรัจฉานที่เสพนั้น ยังเป็นอยู่ก็ตาม ตายแล้วก็ตาม แต่ซากยังบริบูรณ์ หรือแหว่งวิ่นไปบ้าง แต่ยังเป็นวัตถุจะให้สำเร็จกิจในทางนี้ ต้องอาบัติปาราชิก. ถ้าภิกษุถูกข่มขืนแต่ยินดี คือรับสัมผัส ในขณะที่องค์กำเนิดเข้าไปก็ดี เข้าไป
ถึงที่แล้วก็ดี หยุดอยู่ก็ดี ถอนออกก็ดี แม้ขณะใดขณะหนึ่ง ต้องอาบัติปาราชิกเหมือนกัน.

ภิกษุยอมให้บุรุษอื่นเสพเมถุน ในทวารหนักของตนก็ดี ถูกข่มขืน หรือถูกลักหลับและตื่นรู้ตัวขึ้น แต่ยินดี
ก็ดี ต้องอาบัติปาราชิกเหมือนกัน.

ในวินีตวัตถุแห่งสิกขาบทนี้แสดงว่าภิกษุผู้มีหลังอ่อนปรารถนาจะเสพเมถุน ก้มลงอมองค์กำเนิดของตนเองก็ดี มีองค์กำเนิดยาวสอดเข้าไปในทวารหนักของตนก็ดี ย่อมต้องอาบัติปาราชกเหมือนกัน. 

ความที่ว่าไว้นี้ แม้ไม่น่าจะมีได้ แต่ก็ยังเป็นทางสันนิษฐานว่า ภิกษุสั่งให้ผู้อื่นพยายามทำเช่นนั้นแก่ตน ย่อมเป็นปาราชิกเหมือนกัน.

วัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัยและทุกกฏ ในสิกขาบทนี้แสดงไว้ฟั่นเฝือมาก จนถึงท่านผู้อธิบายเอง ก็จับหลักไม่ได้ ในที่นี้ จะแสดงไว้พอเป็นทางสังเกตตามความเข้าใจของข้าพเจ้า แต่บางทีจะแย้งกับวินิจฉัย
ของอาจารย์อื่นก็ได้. ทวารที่เป็นวัตถุของอาบัติปาราชิกนั้น ของมนุษย์หรือของสัตว์ที่ตายแล้วแหว่งเว้าไปมาก ไม่ให้สำเร็จกิจเต็มที่และองค์กำเนิดของบุรุษเป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย อวัยวะนอกนี้ก็ดี
วัตถุอันไม่มีวิญญาณ เช่นตุ๊กตาก็ดี เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกก.

ในวินีตวัตถุแสดงว่า ภิกษุมุ่งจะเสพเมถุนธรรม และพยายามที่อวัยวะหญิง นอกจากทวาร ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. บางเรื่องก็เห็นชัดว่าเพราะกายสังสัคคะ บางเรื่องจะเป็นเพราะอย่างเดียวกัน หรือเพราะสัญเจตนิกาไม่ปรากฏชัด.

แต่อาบัติอนุโลมแห่งปาราชิกนั้น มีเฉพาะอาบัติถุลลัจจัยและทุกกฏ.

ในวิภังค์วินิจฉัยว่า เป็นอาบัติสังฆาทิเสสเช่นนั้น เป็นทางให้สันนิษฐานว่า ถ้ามีสิกขาบทอื่นจะปรับอาบัติได้สูงกว่านั้น ให้ยกเอาสิกขาบทนั้นมาปรับ เช่นภิกษุพยายามในอวัยวะหญิงนอกจกทวาร ถ้าจะปรับอาบัติอนุโลมตามปาราชิก จะปรับได้อย่างสูงเพียงถุลลัจจัย แต่กิริยาที่ทำนั้น เป็นกายสังสัคคะบ้าง เป็นสัญเจตนิกาบ้าง ถ้าจะเอาสิกขาบทห้ามการ ๒ อย่างนั้นมาปรับ อาจจะปรับได้ถึงสังฆาทิเสส. วินิจฉัยในวินีตวัตถุนั้นชอบแก่เหตุ ควรถือ เป็นอุทาหรณ์ในสิกขาบทอื่น.

อาบัติในสิกาขาบทนี้เป็นสจิตตกะ เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้ถูกลัก
หลับไม่รู้ตัว ภิกษุผู้ถูกข่มขืนไม่ยินดี ไม่เป็นอาบัติ และภิกษุอีก ๔
ประเภท คือ ภิกษุเป็นบ้าคลั่งจนถึงไม่มีสัมปชัญญะ, ภิกษุผู้เพ้อ
ถึงไม่รู้สึกตัว, ภิกษุกระสับกระส่ายเพราะเวทนากล้าถึงไม่มีสติ, และ
ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้น ซึ่งเรียกว่า อาทกัมมิกะ
เหล่านี้ไม่ต้องอาบัติในสิกขาบทนี้ และในสิกขาบทอื่นทั้งมวล แต่ภิกษุ
อาทิกัมมิกะนั้น เป็นต้นเหตุแห่งบัญญัติสิกขาบทใด ไม่เป็นอาบัติใน
สิกขาบทนั้น. ต่อนี้ไปจักไม่กล่าวถึงภิกษุ ๔ ประเภทนี้อีก พึงเข้าใจว่า
ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท จักกล่าวเฉพาะที่ได้รับยกเว้นเป็นพิเศษ.
สิกขาบทที่ ๒ ว่า อนึ่ง ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้
เป็นส่วนแห่งโจรกรรม จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาจับโจรได้
แล้วฆ่าเสียบ้าง จำขังไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยปรับโทษว่า เจ้า
เป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมยดังนี้ เพราะ
ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อัน
เจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
ทรัพย์ในคัมภีร์วิภังค์วินิจฉัยไว้มากหลายชนิด ในที่นี้ จักจัดเป็น
หมวดแสดง เพื่อกำหนดง่าย. ทรัพย์ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์วิภังค์นั้นรวม
เข้าได้ ๒ ประเภท เป็นสังหาริมะ ของเลื่อนที่ได้ ๑ เป็นอสังหาริมะ
ของเลื่อนที่ไม่ได้ ๑. ทรัพย์ที่เป็นสังหาริมะนั้น ได้แก่สัตว์ต่างชนิด
เป็นต้นว่าปศุสัตว์ เช่น แพะ แกะ สุกร และสัตว์พาหนะ เช่น
ช้าง ม้า โค กระบือ เรียกสวิญญาณกะก็มี. ได้แก่พัสดุไม่มีวิญญาณ

เรียกอวิญญาณกะ เป็นของตั้งอยู่ลอย ๆ ไม่ติดอยู่กับที่ เช่น เงินทอง
ผ้านุ่งห่มแลเครื่องใช้สอยเป็นต้นก็มี. ที่เป็นอสังหาริมะนั้น ทรัพย์
โดยตรงได้แก่ที่ดินอย่างเดียว โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่กับที่นั้นด้วย
เช่นต้นไม้และเรือนเป็นต้น. ทรัพย์ใดอันคนอื่นเข้ากำหนดถือเอา
คือถือกรรมสิทธิ์ ถือเป็นของตน หรือไม่ใช่ของบุคคล แต่มีผู้เฝ้ารักษา
เช่นเป็นของสาธารณ์ทั่วไปแก่หมู่ มีของสงฆ์เป็นตัวอย่าง หรือเป็น
ของกลางสำหรับสถาน มีของเจดีย์เป็นตัวอย่าง อันเจ้าของก็ดี อัน
เจ้าหน้าที่ก็ดี ไม่ได้ให้แล้ว ไม่ได้สละให้เป็นสิทธิ์แล้ว ทรัพย์นั้น
ชื่อว่าเจ้าของไม่ได้ให้แล้ว. เพราะคำว่า จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี นั้น
ให้หยั่งสันนิษฐานว่า ทรัพย์นั้นอยู่ในความเก็บงำของเจ้าของ เช่น
เงินทองก็ดี ทอดทิ้งไว้ในที่อื่น เช่นต้นไม้ตัดลงแล้ว แต่ยังไม่ได้เข็น
ออกจากป่าก็ดี นับว่าทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ทั้งนั้น.
การถือเอาทรัพย์นั้นเป็นส่วนแห่งโจรกรรมนั้น มีอาการต่าง ๆ
ตามชนิดของทรัพย์. การถือเอาทรัพย์เป็นสังหาริมะ กำหนดว่าถึงที่สุด
ด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน มีนัยดังต่อไปนี้ :-
๑. ทรัพย์เป็นสังหาริมะตั้งอยู่ลอยนั้น มีฐานต่าง ๆ กัน ฝังอยู่
ในแผ่นดินก็มี ตั้งอยู่บนพื้นก็มี แขวนอยู่ในอากาศก็มี วางอยู่บน
ของอื่น เช่นบนเตียงหรือบนราวก็มี อยู่ในน้ำก็มี อยู่ในของเลื่อน
ทีได้อีกต่อหนึ่งก็มี เช่นในเรือหรือในยาน. ฐานของ ๆ นั้นกำหนด
ด้วยหน้าของตั้งทับอยู่ เช่นหีบ กำหนดเท่ากับหีบเป็นตัวอย่าง. ถ้า
ของที่จดดินนั้น ไม่จดราบดังหีบ เช่นโต๊ะ ๓ ขา เก้าอี้ ๔ ขา ดังนี้

เรียกว่ามีฐาน ๓ มีฐาน ๔. ภิกษุมีไถยจิตถือเอาทรัพย์นั้น แต่
พอทำของให้พ้นจากที่ ก็ต้องอาบัติถึงที่สุด. ถ้าเป็นของตั้งอยู่ในของที่
จะเลื่อนได้อีกต่อหนึ่ง เช่นในเรือ เลื่อนเอาไปทั้งของที่รองอยู่ก็
เหมือนกัน. เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่าลัก.
๒. ทรัพย์เช่นนั้นกำลังคนนำไป มีอวัยวะของคนเป็นฐาน พึง
กำหนดโดยอาการที่ทูนศีรษะ แบกบนบ่า กระเดียดที่สะเอว หรือหิ้ว
หรือถือที่มือ. ภิกษุมีไถยจิตชิงเอาทรัพย์นั้น พอพ้นจากอวัยวะอัน
เป็นฐาน ก็ต้องอาบัติ. เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่าชิงหรือวิ่งราว.
ในคัมภีร์วิภังค์แก้บทภาระว่า ภิกษุถือเอาของแห่งคนอื่นไป
มีไถยจิต ปลงของลงจากฐาน เช่นทูนศีรษะ เอาลงที่บ่าเป็นต้น
ต้องอาบัติถึงที่สุด. ข้อนี้ก็อย่างเดียวกับรับของฝาก เพราะต้องเป็น
ผู้สำนอง คือจะต้องรับผิดหรือรับใช้เมื่อของหาย ควรจะปรับด้วย
อย่างอื่น. ถ้าจะว่าในทางบ้านเมือง หากจะทำอย่างนั้น อาการลัก
ยังไม่ปรากฏ ถือของเมื่อยเข้า เขาอาจจะเปลี่ยนฐานเปลี่ยนมือ
หรือวางพักด้วยใจสุจริตก็ได้ ถ้าอวหารมีได้ในทางนี้ คนดี ๆ ก็จะถูกหา
กันงอมแงม ดูไม่เป็นฐานะเลย. ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่า คนอื่นถือ
ภิกษุชิงจากฐาน ซึ่งเรียกว่า ชิงหรือวิ่งราว.
๓. ปศุสัตว์ก็ดี สัตว์พาหนะก็ดี มีเท้าของมันเป็นฐาน. ภิกษุ
มีไถยจิตขับต้อนหรือจูงให้มันไป พอเท้าที่ ๔ ย่างพ้นจากฐาน ก็ต้อง
อาบัติ เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า ลักต้อน. ถ้าเป็นสัตว์เหล็กที่จะพึง
อุ้มได้ ถือได้ด้วยมือ เช่นไก่ ภิกษุมีไถยจิตต้องไป จัดเข้าในบทนี้
ถ้าอุ้มเอาไป จัดเข้าในบทลัก.

ในวินีตวัตถุแห่งสิกขาบทนี้ แสดงอทินนาทานเข้าในประเภทนี้
อีก ๒ อย่าง คือ :-
๔. คนถือของตก ภิกษุมีไถยจิตเข้าแย่งเอา พอหยิบขึ้นจากที่
ก็ต้องอาบัติ. เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า แย่ง.
๕. เวลาแจกของ ภิกษุมีไถยจิตสับฉลากชื่อตนกับชื่อภิกษุอื่น
ในกองของ ด้วยหมายจะเอาลาภของภิกษุอื่นที่มีราคากว่า พอสับ
เสร็จก็ต้องอาบัติ. เอาของปลอมสับเอาของดี จัดเข้าในบทนี้เหมือน
กัน. เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า ลักลับ.
การถือเอาทรัพย์เป็นอสังหาริมะกำหนดว่า ถึงที่สุด ด้วยขาด
กรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ตัวอย่าง เช่น ภิกษุกล่าวตู่เพื่อจะเอาที่ดิน
ของผู้ใดผู้หนึ่ง เจ้าของเป็นผู้มีวาสนาน้อย เถียงไม่ขึ้น ทอด
กรรมสิทธิ์ของตนเสีย ภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุดในขณะนั้น ถ้าเจ้าของ
ยังไม่ปล่อยกรรมสิทธิ์ ฟ้องภิกษุในศาล เพื่อเรียกที่ดินคืน ต่าง
เป็นความแก้คดีกัน ถ้าเจ้าของแพ้ ภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุด. ภิกษุเป็น
โจทก์ฟ้องความเอง เพื่อจะตู่เอาที่ดินก็เหมือนกัน. แต่คำที่ว่า เจ้าของ
แพ้ความนั้น พึงเข้าใจว่า แพ้ในศาลสูงสุดที่คดีเป็นจบลงเท่านั้น.
เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า ตู่. ภิกษุปักเขตรุกเอาที่ดินของเขา ท่านว่า
ต้องอาบัติถึงที่สุดในขณะทำสำเร็จ แต่น่าจะเห็นว่าเจ้าของไม่รู้ เป็น
อันตู่กรรมสิทธิ์ด้วยทีเดียว. ข้อนี้พระวินัยธรพึงพิจารณาดูเถิด ถ้า
รื้อถอนทรัพย์เป็นอสังหาริมะโดยอ้อออกจากที่ เช่นฟังต้นไม้ หรือ

รื้อเรือน กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนที่สำเร็จ ดุจนัยในทรัพย์
เป็นสังหาริมะ.
ยังมีอวหารที่จะพึงกำหนดด้วยอาการอย่างอื่น จากทรัพย์ อยู่อีก
กำหนดด้วยกรรมสิทธิ์บ้าง ด้วยอย่างอื่นบ้าง ดังต่อไปนี้ :-
ภิกษุรับของฝาก มีไถยจิตคิดเอาเสีย ครั้นเจ้าของมาขอคืน
กล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้รับไว้ หรือได้ให้คืนแล้วก็ตาม เช่นนี้พึงกำหนด
ต้องอาบัติด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ดังกล่าวแล้วในบทตู่นั้น.
เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า ฉ้อ. หากจะมีคำถามสอดเข้ามาว่า เหตุ
ไฉนไม่กำหนดเป็นอาบัติ ด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน. แก้ว่า อวหาร
ที่กำหนดเป็นอาบัติ ด้วยทำให้เคลื่อนจากฐานนั้น เพ่งอาของที่
ภิกษุไม่ต้องสำนอง คือรับผิดหรือรับใช้ในเมื่อหายไปแล้ว ส่วนของ
ที่ภิกษุรับฝากไว้นั้น ภิกษุต้องเป็นผู้สำนอง คือต้องรับใช้ในเมื่อ
ของนั้นหาย เหตุดังนั้น ในการรับฝาก ท่านจึงกำหนดเป็นอาบัติ
ด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ที่ภิกษุนั้นพ้นจากความเป็นผู้จะต้อง
สำนองต่อไป.
ภิกษุมีกรรมสิทธิ์ในอันรักษาของซึ่งตั้งอยู่ในที่ใด เช่น ภิกษุผู้เป็น
ภัณฑาคาริก มีหน้าที่รักษาเรือนคลัง แม้มีไถยจิตถือเอาของใน
ที่นั้น ยังไม่นำออกไปพ้นเขตเพียงใด อาบัติยังไม่ถึงที่สุดเพียงนั้น
ต่อเมื่อเอาออกพ้นเขตที่ตนมีกรรมสิทธิ์ในอันรักษานั้น อาบัติจึงถึง
ที่สุด. เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า ยักยอก. อธิบายนี้อาศัยอวหาร
เรียกชื่อว่าสังเกตวีตินามนะในอรรถกถา. ในที่นั้นท่านแสดงว่า ภิกษุ

ทำปริกัปว่า ถ้ามีผู้เห็นตนถือของในเขตเพียงเท่านั้น ๆ จะไม่เอา
จะทำเป็นชมเล่น เอาออกไปพ้นเขตนั้นได้แล้วจึงจะเอา. วินิจฉัย
ดังนั้นความไม่ชัด เพราะในเวลาที่ทำปริกัปนั้น ยังไม่มีไถยจิต
ลงโดยส่วนเดียว.
ภิกษุนำของควรแก่ค่าภาษีมา จะผ่านที่เก็บภาษี ซ่อนของ
เหล่านั้นเสีย หรือของมาก ซ่อนให้เห็นแต่น้อย ดังนี้ ต้องอาบัติ
ถึงที่สุดขณะนำของนั้นล่วงพ้นเขตเก็บภาษี. เพื่อจำง่าย ควรเรียก
ว่า ตระบัด. อวหารบทนี้แปลจากบทอื่นทั้งนั้น. บทอื่นเพ่งเอา
ทรัพย์เป็นของผู้อื่น ภิกษุเอามาเป็นของตน บทนี้เพ่งทรัพย์ของตน
แต่จะต้องเสียให้แก่ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ตนนำของผ่านเข้าไป. ข้อนี้
แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายพระยอมนับถือกรรมสิทธิ์ของท่านผู้ครองบ้าน
เมือง ในที่จะเก็บภาษีจากสินค้าทั้งหลาย เมื่อจะผ่านทางเข้าไป จึง
จำจะต้องเสียทรัพย์ ซึ่งท่านจะพึงได้จากตนตามจำนวนสินค้า. กิริยา
เช่นนี้ เป็นความเสียความหายแก่คนสามัญมาแล้ว จึงได้จัดเข้าไว้ใน
พวกอาหาร ในคัมภีร์วิภังค์เรียกชื่อว่า สุงกฆาตะ.
ภิกษุชักชวนกันไปทำโจรกรรม ลงมือบ้าง มิได้ลงมือบ้าง
ต้องอาบัติถึงที่สุดด้วยกันทั้งนั้น. เพื่อจำง่าย ควรเรียกว่า ปล้น.
อวหารมาในอรรถกถา ควรกล่าวไว้ในที่นี้ ๓ อย่าง คือ:-
ภิกษุทำของปลอม เช่นทำเงินปลอม ทำทองปลอม ชั่งของ
ตวงของด้วยเครื่องชั่งเครื่องตวงอันโกง ต้องอาบัติด้วยทำสำเร็จ. เพื่อ
จำง่าย ควรเรียกว่า หลอกลวง.

ภิกษุมีอำนาจข่มเหงเอาทรัพย์ผู้อื่น ดังราชบุรุษเก็บค่าอากร
เกินพิกัด ต้องอาบัติถึงที่สุดในขณะได้ของมา. เพื่องำง่าย ควรเรียก
ว่า กดขี่, อีกอย่างหนึ่ง ขู่ด้วยการทำร้ายให้เจ้าของทรัพย์จำต้องให้
ซึ่งเรียกว่ากรรโชก ก็นับเข้าในบทนี้ บางทีจะชัดกว่า.
ภิกษุเห็นของเขาทำตก มีไถยจิตเอาดินกลบเสีย หรือเอาของ
มีใบไม้เป็นต้นปิดเสีย ต้องอาบัติในขณะทำสำเร็จ. เพื่อจำง่าย ควร
เรียกว่า ลักซ่อน.
ไม่ใช่แต่เพียงภิกษุทำเอง สั่งคนอื่นให้ทำอทินนาทาน เป็นส่วน
โจรกรรมดังกล่าวแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องอาบัติเหมือนกัน.
เหตุดังนั้น อาบัติในสิกขาบทนี้ ชื่อว่าต้องเพราะสั่งด้วย เรียก
สาณัตติกะ. ส่วนอาบัติที่ต้องเฉพาะทำเอง เช่นอาบัติในสิกขาบทต้น
เรียกอนาณัตติกะ แปลว่าไม่ต้องเพราะสั่ง แต่สั่งในที่นี้พึงเข้าใจว่า
สั่งให้คนอื่นทำแก่คนอื่น ไม่นับสั่งให้ทำแก่ตน.
ภิกษุมีไถยจิต สั่งให้เขาทำโจรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง อาบัติ
ถึงที่สุดในขณะผู้รับใช้ทำโจรกรรมสำเร็จตามสั่ง ถึงกำหนดโดยอาการ
ดังต่อไปนี้ :-
สั่งต่อเดียวไม่มีปริกัป อาบัติถึงที่สุดขณะผู้รับใช้ทำโจรกรรม
สำเร็จตามสั่ง ต้องด้วยกันทั้ง ๒ รูป ทั้งผู้สั่นทั้งผู้รับสั่ง. ครั้นสั่ง
แล้ว แต่ได้ห้ามเสียก่อนแต่ผู้รับสั่งได้ลงมือทำการ แต่ผู้รับสั่งนั้น
ขืนทำโดยพละตนเอง ภิกษุผู้สั่งไม่ต้องอาบัติ ต้องแต่ภิกษุผู้รับสั่ง.
สั่งเจาะจงทรัพย์ แต่ผู้รับสั่งไพล่ลักเอาสิ่งอื่นมา ก็พึงรู้โดยนัยนี้. สั่ง

ด้วยทำนิมิต ซึ่งเรียกว่าใช้ใบ้ มีขยิบตาหรือพยักหน้าเป็นต้น อาบัติ
ถึงที่สุดในขณะที่ผู้รับสั่งเข้าในแล้วทำตามสั่งสำเร็จ ต้องด้วยกันทั้ง
๒ รูป ถ้าทำพลาดขณะไป ไม่จัดว่าได้ทำตามสั่ง ท่านจึงกล่าวว่า
ไม่เป็นอาบัติแก่ผู้สั่ง เป็นเฉพาะแก่ผู้ทำ. สั่งกำหนดเวลาให้ทำใน
เช้าหรือในคำก็พึงรู้โดยนัยนี้. สั่งหลายต่อ เช่นภิกษุแดงสั่งภิกษุเขียว
ให้บอกภิกษุดำ เพื่อทำโจรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะสั่งต่อออก
ไปอีกก็ตาม อาบัติถึงที่สุดในขนะภิกษุรูปหลังทำสำเร็จตามสั่งอันไม่
ลักลั่น. ถ้าคำสั่งนั้นลักลั่นในระหว่าง เช่นภิกษุเขียวหาบอกภิกษุดำไม่
ไพล่สั่งภิกษุขาวแทน เช่นนี้สั่งผิดตัว ผู้สั่งเดิมคือภิกษุแดงรอดตัว
คงต้องอาบัติถึงที่สุดเฉพาะผู้ใช้กับผู้ทำ. สั่งหลาย ๆ ต่อ ผู้รับข้าม
เสียบ้าง ต้องอาบัติเฉพาะภิกษุผู้เนื่องในลำดับ ที่เขาข้ามเสียในระหว่าง
นั้น ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ต้องอาบัติ.
ภิกษุมีไถยจิต สั่งให้เขาทำโจรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้
สำนวนไม่จำกัดลงไป ซึ่งเรียกว่าพูดไม่ตายตัว แต่ชัดพอจะให้
ผู้ฟังเข้าใจความประสงค์ของตน ผู้รับสั่งนั้นทำสำเร็จและเอาของมา
ให้ตามปรารถนา แม้เช่นนี้ ภิกษุผู้สั่งนั้นก็ไม่พ้นอาบัติ. อธิบายนี้
อาศัยอวหารชื่ออัตถสาธกะในอรรถกถา ซึ่งแปลว่ายังอรรถให้สำเร็จ.
แต่ในอรรถกถานั้น ท่านหาได้อธิบายเช่นนี้ไม่ ท่านอธิบายไว้
๒ นัย อย่างหนึ่งว่า ได้แก่ภิกษุสั่งภิกษุไว้เสร็จทีเดียวว่า เมื่อใด
อาจจะลักของชื่อนั้น จงลักมาเมื่อนั้น หากว่าของนั้นอันผู้รับสั่งจักลัก
มาได้เป็นแท้แล้ว โดยไม่มีอันตรายในระหว่าง ผู้สั่งเป็นปาราชิกใน

ขณะสั่ง ผู้ลักเป็นปาราชิกในขณะลัก. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเอา
ของที่อาจจะดื่มน้ำมันได้ ทิ้งลงในหม้อน้ำมันของผู้อื่น พอของนั้น
หลุดจากมือ ก็เป็นปาราชิก. ตามนัยก่อน ผู้สั่งเป็นปาราชิกก่อนทำ
สำเร็จ ผิดจากบาลีที่กำหนดองค์ของสิกขาบทนี้ ทั้งอย่างไรจะรู้ได้ว่า
ของนั้นผู้รับสั่งจักลักได้เป็นแน่แท้ อย่างไรก็ยังปรับอาบัติไม่ได้ กว่า
ผู้รับใช้จะได้ทำสำเร็จ ดูเหมือนพูดเล่น. แต่น่าจะมีที่มุ่งหมาย ดัง
ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาขึ้นข้อหนึ่ง เช่นภิกษุแดงเขียนจดหมายถึงภิกษุดำ
ผู้อยู่ต่างถิ่น ซึ่งจะพึงเดินทางหลายวัน ส่งธนบัตรปลอมไปให้ ขอ
ให้ช่วยใช้เพื่อได้ทรัพย์มาแบ่งกัน ในระหว่างที่จดหมายและธนบัตร
ปลอมยังไปไม่ถึง ภิกษุแดงมีอันเป็น ตายเสียก็ดี หรือคิดจะหลบจาก
อาบัติปาราชิก สึกเสียก็ดี จดหมายและธนบัตรปลอมนั้นไปถึงภิกษุดำ
และเธอลวงใช้สำเร็จในภายหลัง ดังนี้ จะจัดว่าภิกษุแดงผู้สั่งเดิมต้อง
ปาราชิกด้วยหรือไม่. ตายไปแล้วก็แล้วไป ทางที่จำเป็นจะวินิจฉัย
นั้น ต่างว่า นายแดงผู้นั้นจับพลัดจับผลูเข้ามาอุปสมบทอยู่ในหมู่ภิกษุ
จักคงให้อยู่ต่อไปหรือจักต้องถูกนาสนะ. ตามความเห็นของพระอรรถ-
กถาจารย์ ท่านเห็นควรนาสนะเสีย แต่จะยกบทไหนขึ้นปรับเป็น
ปัญหาอยู่ ท่านจึงเอามาจอดในบทอัตถสาธกะ แต่อันที่จริงจอด
ในบทชื่อบุพพปโยคถูกกว่า แต่ท่านแก้เป็นการสั่งไปเสีย. อวหารข้อนี้
ชอบกล จะรับรองก็ไม่เชิง จะปฏิเสธก็ไม่ได้ พระวินัยธรจงวินิจฉัย
ดูเถิด. ส่วนเอาของที่ดื่มน้ำมันได้ ทิ้งลงไปในหม้อน้ำมันของผู้อื่น
เห็นชัดทีเดียวว่า อธิบายผิด เพราะควรจะกำหนดด้วยเอาขึ้น
จากหม้อ นับในอาการให้เคลื่อนที่.

ในอรรถกถาแสดงอวหาร ๒๕ ต่างแต่ชื่อ แก้อรรถซ้ำไปซ้ำมา
ป้วนเปี้ยน มีบทพอที่จะฟังได้อยู่บ้าง หรือบทพอจะเป็นทางพิจารณา
ได้ชักมาไว้ในหนหลังแล้ว บทเหลือจากนั้น จักไม่กล่าวถึง ผู้ต้องการ
รู้จงดูในบุพพสิกขาวัณณนาเถิด.
หากจะมีคำถามสอดเข้ามาว่า อวหาร ๒๕ นั้นของพระอรรถ-
กถาจารย์เอง เหตุไฉนท่านจักอธิบายป้วนเปี้ยน. มีคำแก้ว่า ไม่ใช่
ของท่านเอง เก็บมาจากบาลีบ้าง บางทีจะเก็บชื่อมาจากกฎหมาย
ของบ้านเมืองบ้าง เช่นอาการ ๓๒ อันเป็นอารมณ์แห่งกายคตาสตี-
กัมมัฏฐาน ซึ่งพรรณนาไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เก็บเอามาจาก
ตำราแพทย์ในครั้งนั้น แต่ท่านไม่เข้าใจอธิบายของเขา จึงคิดอธิบาย
พอสมพยัญชนะ. ข้อที่เห็นว่าผิดได้ง่าย ๆ นั้น ชื่อหมวดว่านานา-
ภัณฑปัญจกะ และเอกภัณฑปัญจกะ ซึ่งแจกอวหารบทละ ๕ ๆ
เหมือนกัน ท่านแก้ว่า นานาภัณฑะนั้น ได้แก่ของทั้งมีวิญญาณ
ทั้งไม่มีวิญญาณ ส่วนเอกภัณฑะนั้น ได้แก่ของมีวิญญาณ คือสัตว์
ต่างชนิด. เมื่อเป็นเช่นนั้น น่าชวนให้คิดว่า แยกของมีวิญญาณไว้
หมวดหนึ่งแล้ว เหตุไฉนไม่แยกเอาเฉพาะของไม่มีวิญญาณไว้อีก
หมวดหนึ่งเล่า จักตามนัยนี้มิดีกว่าหรือ. เป็นการจริง ครั้นจะเอา
ตามนั้น ชื่อพอจะแก้ได้ แต่บทอวหารแก้ยาก จึงต้องแก้พอของ
ไปที พอให้สมอรรถแห่งนานาภัณฑะ ซึ่งแปลว่าของต่างกัน. ข้าพเจ้า
สันนิษฐานเห็นว่า ๒ ชื่อนั้น กำหนดด้วยจำนวนแห่งทรัพย์. ทรัพย์
สิ่งเดียวมีราคาเป็นวัตถุแห่งปาราชิก เรียกว่าเอกภัณฑะ แปลว่า

ทรัพย์สิ่งเดียว. ทรัพย์สิ่งหนึ่ง ๆ อันมีราคาไม่ถึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก
ภิกษุลักในคราวเดียวกันเอาตีราคารวมกันได้ เรียกนานาภัณฑะ แปลว่า
ทรัพย์ต่างกันคือหลายสิ่ง. คำว่าต่างกันหรือต่าง ๆ ใช้หมายของ
ชนิดเดียวกันแต่หลายสิ่งได้ มีอุทาหรณ์ดื่นในภาษาไทย. แม้จะเล็ง
ของมีชนิดไม่เหมือนกันโดยเด็ดขาด ก็ยังถูกตามอธิบายนั้น. การที่
จัดนานาภัณฑะไว้หมวดหนึ่งนั้น ก็เพื่อจะกันผู้ลักไม่ให้อ้างเลศว่า
ของสิ่งหนึ่ง ๆ มีราคาไม่ถึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก ต้องอาบัติตาม
วัตถุสิ่งหนึ่ง ๆ มีจำนวนมากหลายเท่าวัตถุเหล่านั้น. ข้อนี้ก็ดี ข้อที่กล่าว
ไว้บ้างแล้วในหนหลังก็ดี พอเป็นเครื่องอ้างให้เห็นว่า อวหาร ๒๕

ในอรรถกถาฟั่นเฝือนัก.
ทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก ที่กำหนดไว้ในสิกขาบทว่า
มีราคาเท่าทรัพย์เป็นวัตถุแห่งมหันตโทษแห่งโจรนั้น ในคัมภีร์วิภังค์
นั้นเอง ตอนนิทานกล่าวว่าบาทหนึ่ง ตอนบทภาชนีย์กล่าวว่า ๕ มาสก,
ตามมาตรรูปิยะที่ใช้อยู่ในแคว้นมคธ ณ ครั้นนั้น ๕ มาสกเป็นบาท
หนึ่ง ๔ บาทเป็นกหาปณะหนึ่ง กหาปณะเป็นหลังมาตรา เช่น
เงินบาทในกรุงสยาม ณ บัดนี้. รูปิยะที่ใช้อยู่ในต่างแคว้น มีอัตรา
ไม่เหมือนกัน ต้องมีมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนอีกส่วนหนึ่ง. มาตรา
รูปิยะในแคว้นมคธ ณ ครั้งนั้น จะสันนิษฐานเทียบกับมาตรารูปิยะใน
บัดนี้ ย่อมรู้ได้ยาก จะเทียบบาทในแคว้นมคธ ณ ครั้นนั้น กับบาทของ
เราในครั้งนี้ ด้วยสักว่าชื่อเหมือนกันก็ไม่ได้ มีทางที่พอจะกำหนด
เป็นหลักฐานได้สะดวกกว่าอย่างอื่น คือในฎีกาทั้งหลายท่านแสดงไว้ว่า

กหาปณะนั้น เป็นมาตราทองคำ ราคาเท่าทองคำหนัก ๒๐ มาสก
มาสก ๑ มีราคาเท่าทองคำหนัก ๔ เมล็ดข้าวเปลือก. บาทหนึ่งเป็น
๑ เสี้ยวที่ ๔ ของกหาปณะ จึงมีราคา ๕ มาสก คือเท่าทองคำ
หนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก. เพราะเป็นมาตราทองคำเทียบกับมาตรา
เงิน จึงมีขึ้นมีลงไม่คงที่. เรื่องนี้ท่านพระอมราภิรักขิต (อมร เกิด)
ได้อธิบายไว้โดยพิสดารแล้วในบุพพสิกขาวัณณนา ผู้ต้องการรู้ละเอียด
จงดุข้างท้ายแห่งคัมภีร์นั้นเถิด แต่พึงเข้าใจว่า ครั้งเรียงบุพพสิกขา-
วัณณนานั้น ราคาทองคำเทียบกับราคาเงินสูงเพียง ๑๖ หนักเท่านั้น.
เพราะเหตุนั้น ควรกำหนดทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติในสิกขาบทนี้
ดังต่อไปนี้ :-
ทรัพย์มีราคาบาทหนึ่ง คือ ๕ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก.
ทรัพย์มีราคาหย่อนบาทลงมา แต่สุงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่ง
อาบัติถุลลัจจัย. ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสกลงมา เป็นวัตถุแห่ง
อาบัติทุกกฏ. ในอรรถกถากล่าวไว้ว่า ของที่เก่าแล้วหรือใช้แล้ว
ราคาย่อมตกลงมา แม้เป็นของใหม่ก็ยังควรตีราคาซึ่งเป็นไปอยู่ใน
ประเทศและในกาลที่เกิดเหตุขึ้น. ทรัพย์สิ่งเดียวมีราคาหย่อนจากวัตถุ
ปาราชิก รวมกันเข้าตีราคาปรับอาบัติที่สูงกว่าได้ ดังวินิจฉันแล้วใน
บทว่านานาภัณฑะข้างต้น. ภิกษุมีไถยจิต ถือเอาทรัพย์มีราคาบาท
หนึ่ง หรือยิ่งกว่า ต้องอาบัติปาราชิก. มีไถยจิตถือเอาทรัพย์มี
ราคาหย่อนจากนั้น ต้องอาบัติตามวัตถุ.
ภิกษุมีไถยจิต พยายามเพื่อจะถือเอาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งปาราชิก

แต่ทำไม่สำเร็จ เช่นจะลักเรือเขา ซึ่งล่ามโซ่ลั่นกุญแจไว้ กำลง
งัดกุญแจไม่ทันจะออก เห็นคนเดินมาตกใจหนีไป เช่นนี้ ต้องอาบัติ
เบาลงมาตามประโยคที่ทำเพียงไร. อาบัติอย่างนี้ เรียกว่า อาบัติ
ในบุพพปโยค คืออาการเป็นเบื้องหน้าแห่งอันลัก. พึงกำหนดรู้
อาบัติโดยประโยคนั้นดังนี้ :-
ทำอวหารสำเร็จ ต้องปาราชิก ทำไม่สำเร็จ เป็นแต่เพียงทำ
ของเป็นสังหาริมะ อันตั้งลอยอยู่ให้ไหวอยู่ในที่ เช่นยังเรอให้เลื่อน
เข้าเลื่อนออกเล็กน้อยในเวลางัดกุญแจ ต้องถุลลัจจัย. ลักต้อนสัตว์
ให้ย่างเท้าหน้า ๆ ต้องถุลลัจจัย. รื้อถอนของเป็นอสังหาริมะให้
หลุดถอน เช่นลักฟันต้นไม้ อีกประโยค ๑ จะสำเร็จ ต้องถุลลัจจัย.
ในการตู่ที่ดินและฉ้อเอาของฝาก ทำให้เจ้าของเกิดสงสัยเมื่อขณะ
ทวงว่า จะไม่ได้คืนก็ดี เป็นความแพ้เจ้าของก็ดี ต้องถุลลัจจัย.
เพื่อจำง่าย พึงกำหนดว่า อีกประโยค ๑ จะสำเร็จเป็นอาหาร เป็น
ถุลลัจจัย. ในประโยคที่รองลงไปจากนั้น เป็นทุกกฏทั้งนั้น. ถ้าทรัพย์
มีราคาไม่ถึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก อาบัติในบุพพปโยคเป็นทุกกฏทั้งนั้น
[แต่ข้าพเจ้าปรารถนาจะเข้าใจว่า เว้นไว้แต่มีบัญญัติเป็นพิเศษ เช่น
ตัดต้นไม้ ต้องเป็นปาจิตตีย์]. แต่ในที่นี้ ตัดต้นไม้ ถอนหญ้า
ขุดดิน ในคัมภีร์วิภังค์วางไว้เป็นอาบัติทุกกฏทั้งนั้น โดยฐานเป็น
บุพพปโยคของอทินนาทาน. อาบัติในบุพพปโยคนี้ เมื่อต้องอาบัติ
ที่หนักกว่าแล้ว นับแต่อาบัติที่หนักนั้นอย่างเดียว. เช่นภิกษุงัดกุญแจ
เรือเมื่อกี้นี้ ต้องเพียงอาบัติถุลลัจจัย [โดยเข้าใจอยู่ว่าเรือคงไหว]

พระวินัยธรพึงปรับเฉพาะอาบัติถุลลัจจัย ไม่พึงปรับอาบัติทุกกฏเพราะ
เดินมา หรือจับเรือเป็นต้น.
อาบัติในสิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ เพราะเหตุนั้น ไม่มีอาบัติ
แก่ภิกษุผู้หาไถยจิตมิได้ แต่ถือเอาด้วยประการอื่น ซึงท่านแจก
ไว้ว่า ถือเอาด้วยสำคัญว่าของตน ถือเอาด้วยสำคัญว่าของทิ้ง เรียกว่า
บังสุกุล ถือเอาด้วยวิสาสะ ถือเอาเป็นของยืม. ถ้าของนั้น
เปรตหรือสัตว์ดิรัจฉานเข้าหวงห้าม เช่นซากเนื้อที่เสือกัดกินค้าง และ
มันหวงไว้เพื่อกินต่อไป ภิกษุถือเอา ท่านว่าไม่ตองอาบัติ. เพราะคำนี้
พึงสันนิษฐานว่า ในครั้นนั้นตลอดมาจนในครั้งนี้ มนุษย์เราไม่ได้ยอม
ให้สัตว์ดิรัจฉานมีกรรมสิทธิ์ ในอาหารที่มันหาได้และในอื่น ๆ ซ้ำ
กลับถือเอามันเป็นทรัพย์ของตนเสียด้วย. ในพระวินัยก็รับรองตามนั้น
จึงได้ยกสัตว์บางเหล่าขึ้นเป็นวัตถุแห่งอทินนาทาน และไม่ปรับอาบัติ
เพราะถือเอาของสัตว์ดิรัจฉาน.
ในวินีตวัตถุ แสดงอนาบัติไว้นอกจากนี้อีก ๒ ประการ คือ
ภิกษุไม่รู้ เช่นเดินทางจะผ่านที่เก็บภาษี คนอื่นผู้มาด้วยกัน แอบเอา
รตนะซ่อนไว้ในย่ามของภิกษุ เธอพาผ่านที่เก็บภาษีไป ไม่ต้องอาบัติ.
อีกประการหนึ่ง เล่าเรื่องสกุลอุปัฏฐากของท่านพระปิลันทวัจฉะ ถูก
โจรปล้นพาเอาบุตรไป ๒ คน พระปิลันทวัจฉะบันดาลด้วยฤทธิ์
พาเด็ก ๒ คนนั้นกลับคืนมาได้ ตัดสินว่าไม่เป็นปาราชิก เพราะวิสัย
แห่งฤทธิ์ของท่านผู้มีฤทธิ์. ในข้อหลังนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาจะเข้าใจ
ว่า เพราะกรรมสิทธิ์ยังมีอยู่แก่เจ้าของเดิม ช่วยตามกลับมาให้แก่

เจ้าของ ไม่มีโทษ. ถ้าความเข้าใจของข้าพเจ้าถูก ขอนี้จะได้นำ
ความเข้าใจผิดและเข้าใจเกินไปในเรื่องโจรลักของเสีย และจะได้เป็น
ตัวอย่างสำหรับวินิจฉัยด้วย.
สิกขาบทที่ ๓ ว่า อนึ่ง ภิกษุใด แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต
หรือแสวงหาศัสตราอันจะนำ [ชีวิต] เสีย ให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือ
พรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชัดชวนเพื่ออันตาย ด้วยคำว่า
แน่ะนายผู้เป็นชาย มีประโยชน์อะไรแก่ท่านด้วยชีวิตอันชั่วนี้ ท่าน
ตายเสียดีกว่าเป็นอยู่ ดังนี้ เธอมีจิตใจ มีจิตดำริอย่างนี้ พรรณนา
คุณแห่งความตายก็ดี ชักชวนเพื่ออันตายก็ดี โดยหลายนัย แม้
ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
กายแห่งมนุษย์นั้น ประสงค์เอาตั้งแต่จิตแรกเกิดปรากฏขึ้น
ในท้องแห่งมารดาตลอดมาจนถึงกาบเป็นที่ตาย ในระหว่างนี้จัดว่า
กายมนุษย์. พรากเสียจากชีวิตนั้น ถือตัดความเป็นให้ขาด ทำความ
สืบต่อให้กำเริบ ด้วยประโยคอย่างใดอย่างหนึ่ง มีนัยดังจะกล่าว
ต่อไปนี้ :-
๑. ให้ประหาร ได้แก่ฟันด้วยศัสตรามีดาบเป็นต้น แทงด้วยหอก
เป็นต้น และตีด้วยไม้พลองหรือด้วยไม้สั้นเป็นต้น.
๒. ซัดไปประหาร ได้แก่ยิงด้วยศรหรือด้วยปืนเป็นต้น พุ่งด้วย
หอก ขว้างด้วยศิลา.
๓. วางไว้ทำร้าย ได้แก่วางขวาก ฝังหลาวไว้ในหลุมพราง
วางของหนักไว้ให้ตกทับ วางยาตายและอื่น ๆ อีก.

๔. ทำร้ายด้วยวิชา ตัวอย่างในอรรถกถา เช่นภิกษุร่ายมนต์
อาคมต่าง ๆ ใช้ภูตใช้ผีเพื่อทำให้ผู้อื่นเจ็บตาย. ตัวอย่างที่จะพึงเห็น
ในบัดนี้ เช่นฆ่าด้วยกำลังไฟฟ้า ซึ่งประกอบให้มีขึ้นด้วยอำนาจ
ความรู้.
๕. ทำร้ายด้วยฤทธิ์ ตัวอย่างในอรรถกถา เช่นภิกษุมีตาเป็น
อาวุธ ดังกล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของพระยม และโกรธถลึงตา
แลดูผู้อื่นด้วยหมายจะให้ตาย. ตัวอย่างในบัดนี้ยังหาไม่ได้ชัด แต่เพราะ
พิษงู ก็เรียกว่าฤทธิ์นาค ปล่อยสัตว์มีพิษเช่นงูให้กัด หรือปล่อย
สัตว์ร้ายเช่นเสือให้กัด ตลอดถึงเอาพิษของสัตว์ฉีดเข้าในเส้นโลหิต
เพื่อให้ตาย จัดเข้าได้ในบทนี้กระมัง ทั้งไม่ซ้ำกับบทก่อน ๆ ด้วย.
แปลกจากบทวางไว้ทำร้าย เพราะไม่ใช่ของประกอบขึ้นด้วยอำนาจความรู้
ใช้ฤทธิ์คือกำลังอันมีอยู่โดยธรรมดาของสัตว์.
ไม่ใช่แต่เพียงจะทำเอง ใช้ผู้อื่นให้ทำประโยคเหล่านี้ ก็ชื่อว่า
พรากชีวิตมนุษย์เหมือนกัน. เหตุนั้น อาบัติในสิกขาบทนี้จึงเป็น
สาณัตติกะ ต้องเพราะใช้เขาด้วย. อธิบายในบทนี้ พึงเทียบเคียง
กับนัยอันกล่าวแล้วในอทินนาทานนั้นเถิด.
ใช่แต่เท่านั้น ภิกษุมีอำนาจเอาศัสตราวุธหรือของอย่างอื่นส่งให้
หรือวางไว้แก่มนุษย์ที่ตนปรารถนาจะให้ตาย และบังคับให้เขาฆ่า
ตนเอง เช่นมีในเรื่องจีนก็ดี หรือเห็นสหายมีทุกข์ร้อนเหลือแก้ หรือ
เจ็บหนักเสวยเวทนากล้าแข็ง มีใจสงสาร ปรารถนาจะให้พ้นทุกข์

พ้นร้อน และช่วยหาศัสตราเป็นต้นมาให้ หรือไม่ทำเช่นนี้ เป็นแต่
พูดพรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพื่ออันตาย คนนั้น
หาศัสตราเป็นต้นเอาเอง ดังนี้ก็เหมือนกัน. พรรณนาหรือชักชวนนั้น
ใช้วาจาหรือทำด้วยกาย เช่นเขียนหนังสือ ก็เช่นกัน. อนึ่ง คำว่า
แสวงหาศัสตรานั้น พึงเข้าใจว่าแสดงไว้เป็นตัวอย่าง แสวงหาสิ่งอื่น
อันเป็นเครื่องผลาญชีวิตก็เหมือนกัน. และพึงเข้าใจว่าเป็นแต่เพียง
แสวงหาศัสตราเป็นต้นก็ดี เป็นแต่เพียงชักชวนก็ดี เขาไม่ทำลายชีวิต
ของเขา เช่นนี้อาบัติไม่ถึงที่สุด ดุจเดียวกับทำเอง แต่เขาไม่ตาย.
มนุษย์เป็นวัตถุแห่งปาราชิก สัตว์ที่เรียกว่าอมนุษย์ ต่างโดย
เป็นยักษ์เป็นเปรต และสัตว์ดิรัจฉานที่ว่ามีฤทธิ์จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้
เป็นวัตถุแห่งถุลลัจจัย สัตว์ดิรัจฉานทั่วไป ตามทางนี้ น่าจะเป็น
วัตถุแห่งทุกกฏ แต่มีสิกขาบทแผนหนึ่ง จึงเป็นวัตถุแห่งปาจิตตีย์
ลักลั่นอยู่ในลำดับนี้ ถ้าถือเอามติของข้าพเจ้า ก็จะเห็นว่าหาลักลั่นไม่.
ภิกษุพยายามจะฆ่ามนุษย์ ทำสำเร็จต้องปราราชิก ถ้าทำไม่สำเร็จ
เป็นแต่เพียงทำให้เจ็บตัว ต้องถุลลัจจัย ทำไม่ถึงนั้น ต้องทุกกฏ.
ภิกษุพยายามจะฆ่าตัวเอง ต้องทุกกฏ. ภิกษุพยายามจะฆ่าสัตว์อื่น
ต้องอาบัติตามวัตถุ. อาบัติในบุพพปโยคเป็นทุกกฏอย่างเดียว.
สิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ เพราะเหตุนั้น ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุ
ผู้ไม่แกล้ง หาได้มีความประสงค์จะให้ตายไม่ เช่นทำงานอยู่บนที่สูง
ของหนักพลัดจากมือตกถูกคนข้างล่างตาย หรือพยาบาลคนไข้หนัก
และหยอดยามากเกินไป คนไข้กลืนไม่ทันสำลักตาย และภิกษุผู้ไม่รู้

เช่นไม่รู้ว่า มีคนลอบเอายาพิษมาปนไว้ในอาหาร และให้อาหารนั้น
แก่ผู้อื่น เขากินตาย. คนอื่นตายด้วยเหตุเช่นนี้ แม้เกิดแต่ประโยค
ของภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ.
สิกขาบทที่ ๔ ว่า อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ [คือไม่รู้จริง]
กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่าง
สามารถ น้อมเข้ามาในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้
ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดหนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตาม
ก็ตาม [คือเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม แต่ในบทภาชนีย์คัมภีร์วิภังค์
แก้ความว่า ถูกซักถามก็ตาม ไม่ถูกซึกถามก็ตาม] ก็เป็นต้อง
อาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด [คือพ้นโทษ] จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้ ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูด
พล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้
ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
ในคัมภีร์วิภังค์ แจกบทอุตตริมนุสสธรรมไว้เป็นอันมาก จะ
แสดงทั้งนั้นเกรงจะฟั่นเฝือ จะกล่าวแต่ชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก
นอกจากเป็นหัวข้อสำหรับผู้ได้เคยสนใจ ในที่นี้จักกล่าวแต่โดยเค้า
เงื่อนเท่านั้น. อุตตริมนุสสธรรม แปลว่า คุณอย่างยวดยิ่งของมนุษย์
หรือแปลว่า คุณของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง ความก็ลงรอยเดียวกัน. คน
ในครั้งนั้น เขานับถือการทำใจให้เป็นสมาธิลงได้ และการทำใจให้
บริสุทธ์ปราศจากกิเลสว่า เป็นความรู้อย่างสูง เพราะผลวิเศษต่าง ๆ

มีมูลมาจากความรู้ ๒ อย่างนี้โดยมาก.
การทำใจให้เป็นสมาธิพึงรู้อย่างนี้ :- ใจนี้อบรมดีแล้ว ย่อม
เห็นอรรถเห็นธรรมแจ้งชัด ทำอะไรย่อมจะสำเร็จ. แต่ใจนี้โดยปกติ
มีอารมณ์ไม่ดีเข้าขัดขวางไม่ให้แน่แน่วลงได้ซึ่งเรียกว่านิวรณ์. นิวรณ์
ท่านแจกเป็น ๕ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม เรียกว่ากาม-
ฉันท์ ๑ ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ อย่างสูง ถึงให้จองล้างจอง
ผลาญผู้อื่น เรียกชื่อตามอาการถึงที่สุดว่าพยาบาท ๑ ความท้อแท้
หรือคร้านและความง่วงงุน รวมเรียกว่าถีนมิทธะ เพราะเป็นเหตุ
หดหู่แห่งจิตเหมือนกัน นี้จัดเป็นนิวรณ์อีก ๑ ความฟุ้งซ่าน หรือ
คิดพล่าน และความจืดจางเร็ว รวมเรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ
เพราะเป็นเหตุกำเริบไม่อยู่ที่แห่งจิตเหมือนกัน นี้จัดเป็นนิวรณ์อีก ๑
ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกวิจิกิจฉา ๑ การทำจิตให้ปลอดจาก
นิวรณ์เหล่านี้ รักษาให้แน่แน่ว ชื่อว่าสมาธิ. สมาธินั้น ที่เป็น
อย่างต่ำไม่แน่แน่วจริง ๆ ทำได้เป็นอย่างดีก็เป็นแต่เฉียด ๆ ใกล้ ๆ
เรียกอุปจารสมาธิ. ที่เป็นอย่างสูง เป็นสมาธิอย่างแน่นแฟ้น แน่แน่ว
ลงไปจริง ๆ เรียกอัปปนาสมาธิ. สมาธิอย่างต่ำ มีได้แก่สามัญชน
ท่านไม่จัดว่าเป็นอุตตริมนุสสธรรม สมาธิอย่างสูง เฉพาะมีแก่
บางคนที่เป็นผู้วิเศษ ท่านจึงถือว่าเป็นอุตตริมนุสสธรรม เรียกว่า
ฌานโดยมากกว่าอย่างอื่น. ฌานนั้นในคัมภีร์วิภังค์แจกเป็น ๔ ตาม
ที่นิยมมากในพระพุทธศาสนา เรียกว่ารูปฌาน เพราะมีรูปธรรม
อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์. ฌาน ๔ นั้น เรียกชื่อตามลำดับปูรณ-

สังขยาว่า ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือใช้ศัพท์เช่นนั้นในภาษามคธว่า
ปฐมะ ทุติยะ ตติยะ จตุตถะ ท่านกำหนดด้วยองคสมบัติดังนี้ :-
๑. ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ ยังมีตรึกซึ่งเรียกว่าวิตก และยังมี
ตรองซึ่งเรียกว่าวิจาร เหมือนอารมณ์แห่งจิตคนสามัญ แต่ไม่ประกอบ
ด้วยกิเลสกามและอกุศลธรรม ซ้ำมีปีติคือความอิ่มใจ และสุข คือ
ความสบายใจเกิดแต่วิเวก คือความเงียบ กับประกอบด้วยจิตมีอารมณ์
เป็นหนึ่งลงไป ซึ่งเรียกว่าเอกัคคตา.
๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓ ละวิตกวิจารเสียได้ คงอยู่แต่ปีติและ
สุขอันเกิดแต่สมาธิ กับเอกัคคตา.
๓. ตติยฌาน มีองค์ ๒ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุขกับเอกัคคตา.
๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ เหมือนกัน ละสุขเสียได้ กลายเป็น
อุเบกขา คือเฉย ๆ กับเอกัคคตา.
ฌาน ๔ นี้ จัดเป็นอุตตริมนุสสธรรมประเภทหนึ่ง.
อีกฝ่ายหนึ่ง จิตอันบริสุทธ์จากิเลส คืออารมณ์เครื่อง
เศร้าหมองใจ ย่อมเป็นมูลสำคัญแห่งความประพฤติบริสุทธิ์ ความสุข
ใจ ความเมตตากรุณาอันเป็นเหตุขวนขวายเพื่อประโยชน์ผู้อื่นทั่วไป.
ท่านผู้มีใจบริสุทธ์จึงเป็นที่นิยมนับถือของคนอื่น จะชักอุทาหรณ์
พอเห็นง่าย ๆ คนใจดีใจเย็นย่อมเป็นที่รักนับถือของคนทั้งหลายมิใช่
หรือ ยิ่งมีใจเผื่อแผ่ด้วย ความก้าวความนับถือก็ยิ่งมากขึ้น. ความ
บริสุทธิ์แห่งจิตนั้น ทำได้เป็นพัก ๆ ก็มี เช่นดับความโกรธได้แล้ว

ภายหลังความโกรธเกิดขึ้นอีก เพราะเหตุอันมากระทบกระทั่ง ทำได้
ยั่งยืนก็มี คือละกิเลสอย่างใดขาดแล้ว กิเลสอย่างนั้นก็ขาดไปทีเดียว
ไม่เกิดขึ้นอีก ความบริสุทธิ์ยั่งยืนนี้ ท่านกล่าวยกย่องเป็นอย่างสูงว่า
โลกุตตรธรรม แปลว่า คุณล่วงโลกขึ้นไป คือ พ้นวิสัยของสัตวโลก.
โลกุตตรธรรม แจกเป็นมรรคและผล มีประเภทอย่างละ ๔ กับ
พระนิพพาน ๑ รวมเป็น ๙ อย่าง. ผู้ปรารถนาจะเข้าใจ พึงรู้จัก
สังโยชน์ ๑๐ ประการก่อน กิเลสอันผูกใจสัตว์อยู่ ชื่อว่าสังโยชน์
จำแนกออกเป็น ๑๐ ประการ คือ:-
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน.
๒. วิจิกิจฉา ความลังเล เป็นเหตุไม่แน่ใจในปฏิปทาเครื่อง
ดำเนินของตน.
๓. สีลัพพตปรามาส ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่า จะมี
ได้ด้วยศีลหรือพรตอย่างนั้นอย่างนี้ ล่วงธรรมดาวิสัย.
๔. กามราคะ คือ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม เรียก
แต่เพียงว่าราคะก็มี.
๕. ปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความหงุด
หงิดด้วยอำนาจโทสะ เรียกโทสะตรงทีเดียวก็มี.
๕ นี้เป็นสังโยชน์เบื้อต่ำ คืออย่างหยาบ เรียกโอรัมภาคิยะ.
๖. รูปราคะ ความติดใจอยู่ในรูปธรรม เช่นชอบใจในบุคคล
บางคน หรือในพัสดุบางสิ่ง แม้ในวัตถุอันเป็นอารมณ์แห่งรูปฌาน.
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม เช่นพอใจในสุขเวทนา.

๘. มานะ ความสำคัญตัวว่า เป็นนั่นเป็นนี่.
๙. อุทธัจจะ คือ ความคิดพล่าน เช่นนึกอะไรก็เพลินเกินไป
กว่าเหตุ.
๑๐. อวิชชา คือ ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง.
อีก ๕ นี้เป็นสังโยชน์เบื้องสูงคืออย่างละเอียดเรียกอุทธัมภาคิยะ
ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์เหล่านี้เด็ดขาด เรียกว่ามรรค.
มรรคนั้นจำแนกเป็น ๔ ด้วยอำนาจกำจัดสังโยชน์ แต่เพียงเอกเทศบ้าง
สิ้นเชิงบ้าง พึงรู้ดังนี้ :-
๑. โสดาปัตติมรรค เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส.
๒. สกทาคามิมรรค เป็นเหตุละสังโยชน์ ๓ ข้างต้นนั้นกับทำ
ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาลง.
๓. อนาคามิมรรค เป็นเหตุละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ทั้ง ๕.

๔. อรหัตตมรรค เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐.

ตามนัยที่กล่าวมานี้ สกทาคามิมรรคไม่ชัดเหมือนมรรคอื่น แฝง
อยู่ในระหว่างโสดาปัตติมรรคกับอนาคามิมรรค. และคำว่า ทำราคะ
โทสะให้เบาลงนั้น ก็ไม่ชัดว่าเพียงไร. สันนิษฐานได้แต่เพียงว่า ราคะ
โทสะที่แรงกล้า เป็นเหตุไปอบาย เช่นกาเมสุมิจฉาจารและพยาบาท
สงบมาแต่ครั้งโสดาปัตติมรรคแล้ว แปลว่า ท่านผู้เป็นโสดาบัน
ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร และไม่จองเวรแก่ผู้อื่น แต่ยังมีภรรยาสามีตาม
ประเพณีโลก และยังโกรธผู้อื่น. ฝ่ายอนาคามิมรรคกำจัดราคะ โทสะ

นั้นสิ้นเชิง แปลว่า ท่านผู้เป็นพระอนาคามี เป็นโสดไม่มีคู่ ไม่ผูก
สมัครรักใคร่ในทางกาม ไม่โกรธขึ้งใคร. ราคะ โทสะ อันสกทาคามิ-
มรรคทำให้เบาลงนั้น แปลว่า ยังมี แต่ไม่ใช่อย่างแรงร้าย จะอธิบาย
ว่ามีห่าง ๆ หรือมีอย่างสุขุม ก็ไม่ปรากฏว่าเพียงไรอีก และโมหะนั้น
จะขาดเด็ดเพราะอรหัตตมรรค สกทาคามิมรรคทำให้เบาลงได้เพียงไร
ไม่ชัดเหมือนกัน จึงยังเป็นมรรคที่มัว.
ธรรมารมณ์อันเกิดสืบเนื่องมาแต่มรรค เสวยกำไรที่มรรคได้ทำ
ไว้นั้น เรียกว่าผล. ผลนั้นมีชื่อเป็น ๔ ตามมรรค. จะนำข้ออุปมา
มาเปรียบมรรคกับผลพอเล็งเห็น. สังโยชน์เหมือนโรคในกาย มรรค
เหมือนการรักษาโรคให้หาย ผลเหมือนความสุขสบายอันเกิดแต่ความ
สิ้นโรค. อีกอุปมาหนึ่ง สังโยชน์เหมือนโจรในป่า มรรคเหมือนกิริยา
ปราบโจร ผลเหมือนความสงบราบคาบเกิดมีเพราะหมดโจร.
ความดับขันธ์ คือ รูปกับจิตเจตสิกนี้ อันเหลืออยู่ภายหลัง แต่
ดับกิเลสได้สิ้นเชิงด้วยอรหัตตมรรค ไม่มีอะไรเป็นเชื้อเหลืออยู่ เรียกว่า
นิพพาน. อธิบายพอเล็งเห็น พระอริยเจ้าผู้ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว
เรียกว่าพระอรหันต์. พระอรหันต์นั้น ดังจิตแล้ว ท่านกล่าวว่า ไม่
ต้องไปเกิดในภพอีกเหมือนสามัญสัตว์ เรียกว่านิพพาน.
ฌานและโลกุตตธรรม ๒ ประเภทนี้ เป็นหลังอยู่ในอุตตริ-
มนุสสธรรม ที่ท่านแจกในคัมภีร์วิภังค์ ชื่ออื่นย่อมเป็นไวพจน์ของ
ธรรม ๒ ประเภทนี้แทบทั้งนั้น ที่ต่างออกไป เช่นโพธิปักขิยธรรม

อันแจกในบทมรรคภาวนา ก็หมายเอาธรรมอันสัมปยุตด้วยมรรค.
คำว่า กล่าวอวดน้อมเข้ามาในตนนั้น อวดจัง ๆ ว่า ข้าพเจ้าได้
ข้าพเจ้าถึงธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ มาแต่ครั้งนั้นครั้งนี้ก็ตาม เมื่อผู้ที่
ภิกษุจงใจจะอวดเข้าใจความแห่งคำพูดว่า ผู้พูด ๆ ด้วยประสงค์อย่างไร
เป็นอาบัติปาราชิก. พูดอวดไม่เจาะจง หรือจะพึงกล่าวว่าเจาะจง
คนมาก คนเหล่านั้น แม้ผู้หนึ่งเข้าใจ เป็นปาราชิกเหมือนกัน. เขา
เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่เป็นประมาณ. เขาไม่เข้าใจความแห่งคำที่พูด เช่น
เป็นคนต่างภาษากัน พูดฟังกันไม่เข้าใจ เช่นนี้ เป็นอาบัติถุลลัจจัย.
ภิกษุพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมโดยอ้อมค้อม คือ อ้างลักษณะ
แห่งรูปพรรณก็ดี อ้างบริขาร คือ บาตรจีวรก็ดี อ้างที่อยู่ที่อาศัยก็ดี
อ้างอื่น ๆ อีกก็ดี กล่าวว่าภิกษุมีรูปร่างผิดพรรณเช่นนั้น ใช้บาตรจีวร
เช่นนั้น อยู่ในตำบลชื่อนั้น สุดแต่จะนำความเข้าใจของเขามาในตน
ได้เพียงไร เมื่อเขาเข้าใจ เป็นอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขาไม่เข้าใจ เป็น
อาบัติทุกกฏ.
อาบัติในสิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ เพราะเหตุนั้น ไม่เป็นอาบัติ
แก่ภิกษุผู้พูดด้วยสำคัญว่าได้บรรลุ และภิกษุผู้ไม่มีประสงค์ในอันจะ
อวดอ้าง เช่นอ่านสิกขากล่าวคำอวดอ้างนั้นว่าอย่างไร เป็นตัวอย่าง.
ปาราชิกสิกขาบท ๔ นี้ ภิกษุล่วงแต่ข้อใดข้อหนึ่งแล้วย่อมไม่ได้
เพื่อจะอยู่กับภิกษุทั้งหลายอีก เหมือนในกาลที่ยังไม่ล่วง เป็นปาราชิก
หาสังวาสมิได้. แม้จะอุปสมบทอีก ก็ไม่เป็นภิกษุโดยชอบด้วยพระ-

วินัยตลอดชาติ. อาบัติในสิกขาบท ๔ นี้ จึงเป็นอเตกิจฉา แก้ไม่ได้
เป็นอนวเสส หาส่วนเหลือมิได้ เป็นมูลเฉท คือตัดรากเง่า ภิกษุจะ
ล่วงมิได้เลย.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น